มือถือแอบฟังเราจริงไหม? ไขคำตอบโฆษณาที่รู้ใจจนเราคิดว่ามีคนแอบฟัง!

Active Listening

เคยรู้สึกไหมว่าโฆษณาบน Facebook หรือ Instagram บางทีก็เหมือนรู้ว่าคุณกำลังคิดอะไรอยู่ เช่น เพิ่งคุยกับเพื่อนว่าอยากซื้อรองเท้าคู่ใหม่ โฆษณารองเท้าก็โผล่มาแบบทันใจจนอดสงสัยไม่ได้ว่า มือถือแอบฟังเราอยู่หรือเปล่า

โฆษณารู้ใจคุณได้อย่างไร

สิ่งที่ทำให้โฆษณา “รู้ใจ” คุณได้แบบนี้ก็คือ ข้อมูลดิจิทัล (Digital Footprint) ที่คุณทิ้งไว้ทุกครั้งที่ใช้อินเทอร์เน็ต เช่น

  • การค้นหาบน Google
  • การกดไลก์หรือแชร์โพสต์ใน หรือการ active ต่อ feed ต่างๆ บน Facebook
  • การเยี่ยมชมเว็บไซต์ต่างๆ
  • ข้อมูลจากแอปพลิเคชันที่คุณลงชื่อเข้าใช้ด้วยบัญชี Google หรือ Facebook
  • ความชอบของเพื่อนสนิทในโซเชียลมีเดีย ที่อาจจะชอบในกิจกรรมต่างๆ คล้ายคุณ
  • Location ที่คุณเคยผ่าน หรือ เพื่อนของคุณเคยผ่านแล้วบรรจบกัน

ตัวอย่างที่ทำให้คุณเข้าใจผิดว่า “มือถือแอบฟังคุณ”

  • คุณพูดเรื่องซื้อรถใหม่ และบังเอิญว่าก่อนหน้านี้คุณเคยค้นหาข้อมูลรถยนต์หรือเข้าเว็บไซต์เกี่ยวกับรถยนต์ ระบบจึงแสดงโฆษณาให้ทันที
  • บางครั้ง เพื่อนของคุณที่เชื่อมโยงกับบัญชีของคุณมีความสนใจเรื่องนั้น ระบบอาจคิดว่าคุณสนใจด้วย

เทคโนโลยี Machine Learning และระบบโฆษณาอัจฉริยะ

ระบบจะวิเคราะห์พฤติกรรมของคุณ เช่น ถ้าคุณค้นหา “ที่พักทะเล” หรือ “โปรแกรมเที่ยวหัวหิน” ระบบก็จะเข้าใจว่าคุณสนใจเที่ยวทะเล และจัดโฆษณาที่เกี่ยวข้องมาแสดงให้คุณดู หรือ แม้ว่าคุณจะไม่เคยค้นหาสิ่งนั้น แต่เพื่อนสนิทของคุณหลายๆ คนเคยค้นหา แล้วบังเอิญคุณและเพื่อนคุณมาเจอกัน โฆษณาก็จะปรากฏให้คุณเห็น เพราะคิดว่าคุณน่าจะสนใจสิ่งเดียวกัน

มือถือแอบฟังเราจริงไหม

ไม่จริงหรอก เห็นข่าวต่างประเทศบอกว่าโทรศัพท์แอบฟังเราจริงๆ

คุณอาจเคยได้ยินเรื่องเทคโนโลยีที่แอบฟังบทสนทนาของเราเพื่อแสดงโฆษณาให้ตรงเป้าหมาย หนึ่งในประเด็นที่ทำให้คนพูดถึงกันมากคือโปรแกรมที่ชื่อว่า “Active Listening” ซึ่งถูกเปิดเผยในเอกสารสไลด์ของ Cox Media Group (CMG)

Active Listening คืออะไร

Active Listening อ้างว่าใช้ไมโครโฟนของอุปกรณ์ เช่น มือถือหรือสมาร์ทโฟน เพื่อฟังบทสนทนาในสภาพแวดล้อมรอบตัวคุณ จากนั้นเทคโนโลยีจะดำเนินการต่อไปนี้

  1. วิเคราะห์เสียงเพื่อระบุว่าคุณกำลังพูดถึงอะไร
  2. รวมข้อมูลนี้เข้ากับพฤติกรรมออนไลน์ของคุณ
  3. แสดงโฆษณาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ

CMG ยังอ้างว่ามีการร่วมมือกับบริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น Amazon, Facebook, และ Google เพื่อใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้ ซึ่งเป็นที่มาของความกังวลว่าเราถูก “แอบฟัง” จริงหรือเปล่า

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ Active Listening

แม้จะมีการกล่าวอ้างเหล่านี้ แต่บริษัทอย่าง Facebook และ Google ต่างปฏิเสธว่าไม่ได้ใช้เทคโนโลยี Active Listening เพื่อฟังบทสนทนาของผู้ใช้ พวกเขายืนยันว่าข้อมูลโฆษณาทั้งหมดได้มาจากกิจกรรมออนไลน์ เช่น การค้นหา การกดไลก์ หรือการเยี่ยมชมเว็บไซต์ ไม่ใช่จากการฟังบทสนทนา

จนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่า Active Listening ถูกใช้งานจริงหรือสามารถฟังผู้ใช้ได้ตามที่อ้าง และบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ๆ ก็ยืนยันว่าไม่ได้มีส่วนร่วมกับเทคโนโลยีนี้แต่อย่างใด

คุณจะปกป้องความเป็นส่วนตัวได้อย่างไร

แม้ว่าจะยังยืนยันไม่ได้ว่าโทรศัพท์แอบฟังคุณ แต่การใช้ข้อมูลแบบนี้ อาจทำให้คุณรู้สึกไม่ปลอดภัย ดังนั้น ลองใช้วิธีเหล่านี้เพื่อปกป้องตัวเองดูนะครับ

1. ตรวจสอบและตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

  • ไปที่การตั้งค่าความเป็นส่วนตัวใน Facebook และ Google แล้วเลือกจำกัดข้อมูลที่พวกเขาสามารถใช้ได้
  • ปิด “Personalized Ads” หรือโฆษณาที่ปรับตามพฤติกรรม

2. ลบประวัติการค้นหาและคุกกี้เป็นประจำ

  • การล้างข้อมูลเหล่านี้ช่วยลดการติดตามของระบบโฆษณา

3. ใช้แอปหรือปลั๊กอินป้องกันการติดตาม (Ad Blocker)

  • แอปเหล่านี้ช่วยลดการแสดงโฆษณาที่เจาะจงพฤติกรรมของคุณ

4. อย่าให้แอปเข้าถึงไมโครโฟนหรือข้อมูลเกินความจำเป็น

  • ตรวจสอบว่าแอปไหนที่เข้าถึงไมโครโฟนหรือข้อมูลส่วนตัว แล้วปิดสิทธิที่ไม่จำเป็น

แล้วคุณล่ะ เคยเจอโฆษณาที่ทำให้คิดว่าถูก “แอบฟัง” บ้างไหม?

บทความที่เกี่ยวข้อง: การประยุกต์ใช้ AI ในโลกการตลาด

ที่มา: LinkedIn

ภาพจาก Freepik

    wpChatIcon