Open Banking คืออะไร และทำอะไรได้บ้าง

Open Banking

ในปัจจุบันหากคุณกำลังมองหาสถานบันการเงินเพื่อสมัครขอสินเชื่อ แค่คิดก็เหนื่อยแล้วใช่ไหมล่ะ เพราะจะต้องใช้เวลาเตรียมเอกสารมากมาย ไปยื่นให้สถาบันการเงินต่างๆ และรอผลอีกหลายวัน แต่มีคำคำหนึ่ง ที่จะทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องง่ายไปเลย นั่นคือคำว่า Open Banking

Open Banking คืออะไร

Open Banking คือ การเปิดให้ผู้ให้บริการทางการเงินและบริษัทภายนอก (เช่น ฟินเทคหรือผู้พัฒนาซอฟต์แวร์) เข้าถึงข้อมูลทางการเงินของลูกค้า โดยลูกค้าต้องให้ความยินยอมก่อน ข้อมูลนี้ถูกแลกเปลี่ยนผ่าน API ซึ่งเป็นชุดคำสั่งที่ช่วยให้ระบบของธนาคารและบริษัทอื่นๆ สามารถเชื่อมต่อและสื่อสารข้อมูลระหว่างกันได้ เพื่อนำข้อมูลทางการเงินไปใช้ประโยชน์ ทั้งในด้านของการให้บริการหรือพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ดีขึ้น

หลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินคำอื่นๆ มาเช่น Open Data หรือ Open อื่นๆ เราจึงขอแสดงภาพให้เห็นว่า Open Banking เกี่ยวข้องกับ Open Data อย่างไร ดังรูปต่อไปนี้

ความสัมพันธ์ของ Open Banking กับ Open Data
ภาพ 1 แสดงให้เห็นว่า Open Banking เป็นหนึ่งใน Subset ของ Open Data

ซึ่งประเทศไทยของเรา ก็มีความตื่นตัวต่อเรื่องนี้พอสมควร โดยทางธนาคารแห่งประเทศไทย ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นต่อแนวนโยบายการเปิดกว้างให้ใช้ประโยชน์จากข้อมูลตามสิทธิของผู้ใช้บริการ (Open Data for Consumer Empowerment) ไปเมื่อปลายปี 2566

ภาพ Open Banking ของธนาคารแห่งประเทศไทย
ภาพ 2 แสดงสิ่งที่ธนาคารแห่งประเทศไทยอยากเห็นเมื่อ Open Banking สำเร็จ

ผลดีของ Open Banking ต่อประเทศไทย

หากว่าประเทศไทยสร้าง Open Banking Data ได้สำเร็จเมื่อไหร่ จะเรียกได้ว่ามีผลดีต่อหลายๆ ภาคส่วน และอาจพลิกวงการการเงินในประเทศไทยได้เลยทีเดียว ซึ่งเราขอสรุปผลดีคร่าวๆ มาให้ดังนี้

1. ผลดีต่อผู้บริโภคและประชาชนทั่วไป

  • อันดับแรกสุด ก็คงจะเป็นเรื่อง การเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นประเด็นที่หลายๆ คนมองว่าใช้ประโยชน์จาก Open Banking โดยตรง เนื่องจากสามารถส่งข้อมูลให้สถาบันการเงินได้สะดวก และสถานบันการเงินร้องขอข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจได้โดยสะดวก
  • สามารถเห็นข้อมูลการเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ทางการเงินจากหลายสถาบันการเงินได้โดยง่ายและสะดวกในที่เดียว
  • สามารถจัดการการเงินได้สะดวกมากขึ้น เนื่องจากมีการรวบรวมข้อมูลการเงินจากหลายๆ ที่ มาอยู่ในที่เดียวได้

2. ผลดีต่อธนาคารและสถาบันการเงิน

  • สืบเนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีการทำ Open Infra ด้วย จึงทำให้ธนาคารและสถาบันการเงินต่างๆ สามารถใช้โครงสร้างพื้นฐานทางการเงินร่วมกันได้ จึงเป็นการลดต้นทุนในการพัฒนาบริการและสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ได้
  • โอกาสในการขยายตลาดและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ได้ โดยธนาคารและสถาบันการเงินสามารถใช้ข้อมูลจาก Open Banking มาวิเคราะห์เพื่อให้เข้าใจถึงพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้น

3. ผลดีต่อฟินเทคและผู้ให้บริการทางการเงิน

  • สร้างโอกาสในการพัฒนาแอปพลิเคชัน โดยสามารถพัฒนาแอปและบริการที่เชื่อมต่อกับระบบธนาคารได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านกระบวนการสร้างโครงสร้างพื้นฐานเอง ส่งผลให้เกิดนวัตกรรมทางการเงินใหม่ ๆ เช่น แอปการออม การลงทุน หรือการให้คำปรึกษาด้านการเงินแบบอัตโนมัติ
  • ลดความเสี่ยงในการให้บริการ เนื่องจากการเข้าถึงข้อมูลทางการเงินที่แม่นยำและครอบคลุมมากขึ้น จะช่วยให้ฟินเทคและผู้ให้บริการสามารถประเมินความเสี่ยงในการให้สินเชื่อหรือบริการทางการเงินได้ดีขึ้น ซึ่งทำให้การดำเนินงานมีความเสี่ยงน้อยลง

4. ผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวม

  • ช่วยเพิ่มการแข่งขันในภาคการเงิน การเปิดข้อมูลทางการเงินให้กับผู้เล่นหลายรายในตลาดจะทำให้เกิดการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้น ทั้งในด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการให้บริการที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งทำให้เราคาดหวังว่าผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน จะมีประสิทธิภาพและคุณภาพสูงขึ้น
  • ส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงินให้กับประชาชนกลุ่มที่ไม่เคยเข้าถึงบริการทางการเงินมาก่อน เช่น ชุมชนห่างไกลหรือกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ด้วยบริการที่ถูกปรับให้เหมาะสมกับสถานการณ์ทางการเงินของพวกเขา จึงอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมได้

ทำอย่างไรให้ Open Banking ในประเทศไทยสำเร็จได้

การที่จะทำให้ Open Banking ในประเทศไทยสำเร็จนั้น เราขอแบ่งกลุ่มผู้มีความเกี่ยวข้องออกเป็น 4 ส่วน ดังนี้

  1. รัฐบาลและหน่วยงานกำกับดูแล (ธนาคารแห่งประเทศไทย)
    หลักๆ ก็จะเป็นเรื่องของการออกกฎระเบียบและนโยบายสนับสนุน เช่น การกำหนดมาตรฐาน API การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และมาตรการรักษาความปลอดภัย เพื่อให้การแลกเปลี่ยนข้อมูลเป็นไปอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ รวมถึงการให้ความรู้กับผู้บริโภคหรือประชาชนทั่วไปให้มีความรู้ความเข้าใจในเรื่อง Open Banking นี้ด้วย
  2. ธนาคารและสถาบันการเงิน
    สำหรับธนาคารและสถาบันการเงินควรพัฒนาและเปิดเผย API ที่ได้มาตรฐาน เพื่อให้ผู้พัฒนาภายนอกสามารถเข้าถึงและใช้งานข้อมูลของลูกค้าได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ โดยต้องได้รับความยินยอมจากลูกค้าก่อน และควรคำนึงถึงเรื่องการติดตามกิจกรรมที่อาจเป็นการฉ้อโกง
  3. ฟินเทคและผู้พัฒนาซอฟต์แวร์
    เมื่อกฎเกณฑ์และข้อกำหนดต่างๆ จากชัดเจนแล้ว และธนาคารและสถาบันการเงินมี API พร้อมให้ใช้งาน ก็จะมาถึงส่วนของฟินเทคและผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ ที่จะต้องพัฒนาบริการและแอปพลิเคชันที่ใช้ข้อมูล Open Banking เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้งาน เช่น การจัดการเงิน การขอสินเชื่อ การวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้จ่าย หรือการลงทุนแบบอัตโนมัติ และต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบโดยเคร่งครัดเพื่อป้องกันความเสี่ยงและสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ใช้บริการ
  4. ผู้บริโภคหรือประชาชนทั่วไป
    ผู้บริโภคหรือประชาชนทั่วไปควรจะศึกษาให้เข้าใจถึงประโยชน์และความเสี่ยงของการใช้ Open Banking และให้ความยินยอมในการแบ่งปันข้อมูลของตนกับผู้ให้บริการที่เชื่อถือได้

ความท้าทายในการทำ Open Banking

หากจะบอกว่าประเทศไทยควรทำ Open Banking ให้สำเร็จโดยเร็ว ก็คงพูดได้ไม่เต็มปาก หากยังไม่ได้เคลียร์ประเด็นความท้าทายที่ประเทศอื่นๆ ที่ทำสำเร็จแล้วเจอมา ซึ่งเราก็ได้สรุปและนำมาเสนอดังนี้

  1. ความปลอดภัยของข้อมูล เป็นประเด็นแรกและน่าจะเป็นประเด็นหลักที่หลายๆ คนมีความกังวล เนื่องจากเมื่อผู้บริโภคให้ความยินยอมเปิดเผยข้อมูลการเงินให้ฟินเทคและผู้ให้บริการทางการเงิน เข้าถึงแล้ว หากบริษัทเหล่านั้น มีการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่ไม่ดีพอ ก็อาจทำให้เกิดการสูญเสียเงิน หรือข้อมูลส่วนบุคคลที่สำคัญได้
  2. ประโยชน์และต้นทุนของผู้เกี่ยวข้อง แม้ว่าส่วนใหญ่จะเห็นด้วยกับแนวทางของ Open Banking แต่ก็มีบางส่วนเห็นว่าควรคำนึงถึงแรงจูงใจและต้นทุนของผู้ให้บริการด้วย
  3. โครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงมาตรฐานกลาง ที่ต้องศึกษาและตกลงกันระหว่างทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ต้องใช้เวลา และดำเนินการอย่างระมัดระวัง
  4. การส่งเสริมให้ผู้ใช้บริการทราบและเข้าใจสิทธิในการใช้ประโยชน์จากข้อมูลของตน เพราะว่าหากขาดเรื่องนี้ไป ต่อให้มีระบบที่ดีแค่ไหน ก็จะไม่ได้รับผลลัพธ์ที่คุ้มค่า
  5. อาจเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือ การให้ความร่วมมือของธนาคาร ซึ่งเป็นผู้กุมข้อมูลการเงินของลูกค้าจำนวนมหาศาล จะต้องเปิดข้อมูลลูกค้าตัวเอง ให้คู่แข่งทางธุรกิจนำไปใช้ได้อย่างสะดวก

ตัวอย่างการทำ Open Banking ที่ประสบความสำเร็จ

เราขอยกตัวอย่างประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่ประสบความสำเร็จในการนำ Open Banking มาใช้ในระบบการเงินอย่างมาก และเรียกได้ว่าไปถึงขั้นสุดของการใช้ Open Data แล้วประเทศหนึ่งเลยทีเดียว

  1. KakaoBank
    KakaoBank เป็นหนึ่งในธนาคารดิจิทัลที่ใช้ประโยชน์จาก Open Banking ในเกาหลีใต้ โดยสามารถเชื่อมโยงกับบัญชีธนาคารต่างๆ ผ่านระบบ API ทำให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงข้อมูลบัญชีจากหลายธนาคารในที่เดียว และทำธุรกรรมทางการเงินได้สะดวกผ่านแอปพลิเคชันของ KakaoBank โดยไม่ต้องเปิดบัญชีใหม่ในธนาคารหลายแห่ง จึงทำให้ KakaoBank เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีลูกค้าสมัครใช้งานกว่า 240,000 คนใน 10 วันแรกของการเปิดตัว และมีผู้ใช้งานมากกว่า 10 ล้านคนในเวลาเพียงไม่กี่ปี
  2. Naver Pay
    Naver Pay เป็นผู้ให้บริการกระเป๋าเงินดิจิทัลยอดนิยมในเกาหลีใต้ ซึ่งมีการใช้ประโยชน์จาก Open Banking ทั้งในด้านการเชื่อมต่อกับบัญชีธนาคารชื่อดังหลายเจ้าและบัตรเครดิต เพื่อการชำระเงินที่รวดเร็ว และสามารถตรวจสอบประวัติการทำธุรกรรมได้สะดวกและใช้งานง่ายอีกด้วย ส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลของเกาหลีใต้ ช่วยผลักดันสังคมไร้เงินสดและเพิ่มความสะดวกให้กับทั้งผู้ค้าและผู้บริโภค

บริษัท ไอโคเน็กซ์ จำกัด มีพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจที่เชี่ยวชาญเรื่อง Open Data Platform จากประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่ประสบความสำเร็จเรื่อง Open Data มากที่สุดในโลก หากคุณมีความสนใจหรือต้องการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับ Open Banking สามารถติดต่อสอบถามเราได้ที่ thaisales@iconext.co.th หรือคลิก Inquiry Form

ที่มา:

https://www.bot.or.th/content/dam/bot/documents/th/research-and-publications/articles-and-publications/articles/pdf/Article_11Mar2022.pdf

https://www.bot.or.th/th/news-and-media/news/news-20231130.html

https://www.bot.or.th/th/news-and-media/news/news-20240229.html

https://www.theasianbanker.com/updates-and-articles/innovation-and-a-strong-organisation-key-to-kakaobanks-success

https://fintechnews.hk/29161/fintechkorea/open-banking-korea/

https://www.dataprovider.com/recipes/naver-pay/

ภาพจาก Freepik

    wpChatIcon