SEO หรือ Search Engine Optimization คือ กระบวนการหนึ่งในการปรับปรุงคุณภาพและปริมาณของ website traffic จากเครื่องมือค้นหาต่างๆ เช่น Google, Bing หรือ Yahoo เพื่อให้เว็บไซต์ของเราติดอยู่ในอันดับต้นๆ บนหน้าแสดงผลการค้นหาโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในการโฆษณา หรือที่เรียกว่า “Natural search” หรือ “Organic search”
เมื่อเว็บไซต์ของเราติดอยู่ในอันดับต้นๆ ก็จะทำให้มีคนเห็นและคลิกเข้ามาเยี่ยมชมมากขึ้น ซึ่งจะเชื่อมโยงไปสู่การโปรโมตสินค้าหรือบริการที่เราต้องการได้
หลักการคร่าวๆ ในการทำ SEO
- จัดทำ Index เชื่อมโยงเว็บไซต์ของเราเข้ากับเว็บไซต์อื่นที่เกี่ยวข้อง
การฝาก hyperlink ซึ่งกันและกันระหว่างเว็บไซต์ ช่วยเพิ่มความสำคัญของแต่ละเว็บไซต์ในการค้นหาจาก search engine ได้มากขึ้น
จากรูปด้านบน เว็บไซต์ B ถือว่ามีคุณภาพมากที่สุดเพราะมีเว็บไซต์อื่นจำนวนมาก link มาหา
2. เลือก Keyword ที่ใช้ในการค้นหา
คือการเลือกใช้คำที่คาดว่าจะตรงกับเป้าหมายที่ผู้ใช้ค้นหา เป็นการคัดกรองผู้เข้าชมเว็บไซต์ที่สนใจสินค้าของเรา และเชื่อมโยงไปสู่การเป็นลูกค้าได้ในอนาคต
ลักษณะของ Keyword ที่ดี เช่น มีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่แสดงบนเว็บไซต์ มีคำเฉพาะเจาะจงที่ตรงกับสินค้าหรือบริการที่เราต้องการขาย แสดงถึงความต้องการหรือปัญหาของผู้ค้นหา
3. ใช้เซิร์ฟเวอร์และโดเมนที่มีความปลอดภัยสูง ไม่มี spam
ดำเนินการขอใบรับรองดิจิทัล (Digital Certificate) ในการรับรองเว็บไซต์ (Server Certificate) หรือทำ Hypertext Transfer Protocol Secure (HTTPS) คือโปรโตคอลสำหรับเรียกใช้งานเว็บไซต์ ที่ระบุว่าการส่งผ่านข้อมูลในเว็บไซต์นี้จะถูกเข้ารหัสเพื่อความปลอดภัย
Search engine อย่าง Google จะไม่สนับสนุนเว็บไซต์ที่ไม่ใช้งานระบบความปลอดภัยแบบ HTTPS เพราะถือว่าไม่ได้ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้ใช้งาน โดยจะมีการขึ้นเตือนบน URL ว่า Not Secure ซึ่งจะมีผลกับการค้นหาโดยตรง
4. เพิ่มความเร็วในการโหลดหน้าเว็บไซต์
ค่าเฉลี่ยที่ทาง Google ทำการสำรวจจากผู้เข้าชมเว็บไซต์บอกไว้ว่า ผู้เข้าชมเว็บไซต์จะออกจากหน้าเว็บนั้นๆ ทันทีหากใช้เวลาโหลดนานเกิน 3 วินาที การเพิ่มความเร็วในการโหลดเว็บไซต์จึงมีผลต่อการค้นหาเป็นอย่างมาก Search engine ต่างๆ จะเลือกเว็บไซต์ที่มีการโหลดรวดเร็ว ขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆ
การใช้ content หรือข้อมูลในรูปแบบ structure และรูปที่มีประสิทธิภาพจะทำให้โหลดหน้าเว็บไซต์ได้รวดเร็ว ผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ไม่ต้องรอนานจนเปลี่ยนใจไปเข้าหน้าเว็บไซต์อื่นแทน
5. รองรับการใช้งานบนโทรศัพท์มือถือ
ทำเว็บไซต์เพื่อรองรับการดูข้อมูลบน mobile application เช่น ใช้ Responsive Web Design ที่จะทำให้เว็บไซต์สามารถปรับเปลี่ยนขนาดให้เหมาะสมกับการแสดงผลบนหน้าจอขนาดต่างๆ บนอุปกรณ์ที่แตกต่างกัน หรือการสร้างเว็บไซต์ด้วย Google AMP (Accelerated Mobile Pages) จะช่วยให้เว็บไซต์แสดงผลขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
6. สร้างเนื้อหาที่มีประโยชน์ต่อสังคม
การเพิ่มเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวมก็เป็นองค์ประกอบสำคัญในการทำ SEO เช่น การเขียน content ที่ให้ความรู้ และเป็นประโยชน์ต่อสังคม
หากเป็นเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ Search engine ก็จะเพิ่มความสำคัญให้กับเว็บไซต์นั้นในการค้นหาอีกด้วย
ทั้งหมดนี้คือหลักการคร่าวๆ ในการทำ SEO บนพื้นฐานของ Google Search Algorithm ซึ่งมีการอัปเดตอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น ถ้าต้องการให้เว็บไซต์ของเราติดอันดับต้นๆ ไปนานๆ ในการค้นหาบน Google ก็ต้องคอยศึกษาการปรับเปลี่ยน algorithm ของ Google ด้วย เพื่อจะได้ปรับปรุงเว็บไซต์ให้รองรับการอัปเดตของ algorithm เหล่านั้นได้