Decentralized Finance (DeFi) คืออะไร?

ในช่วงปีที่ผ่านมาจะสังเกตเห็นได้ว่ามีคนให้ความสนใจเกี่ยวกับ Cryptocurrency เป็นจำนวนมาก ซึ่งจะมีคำที่ถูกพูดถึงอยู่บ่อยๆ นั่นคือ DeFi

DeFi คือผู้ให้บริการทางการเงินแบบไร้ตัวกลางโดยไม่ผ่านธนาคาร เช่น การกู้ยืม การโอนสินทรัพย์ หรือแม้แต่หุ้นก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยจุดเริ่มต้นมาจากแนวคิดเกี่ยวกับการสร้างระบบการเงินไร้ตัวกลาง

เหตุผลที่ต้องมีตัวกลางเพราะต้องการความน่าเชื่อถือ ยิ่งเป็นธุรกรรมทางการเงินด้วยแล้ว ยิ่งต้องการความมั่นใจอย่างสูงว่าเงินที่ฝากไว้จะไม่สูญหายและได้ค่าตอบแทนตามที่ตกลงกัน รวมถึงการซื้อขายก็เช่นกัน ซึ่งตัวกลางจะช่วยให้เรามั่นใจได้ว่าจะไม่มีการโกงหรือทำให้เราเกิดความเสียหายโดยแลกมากับค่าธรรมเนียมที่เราต้องเสียไป

กลับมาพูดถึง DeFi บริการทางการเงินแบบไร้ตัวกลาง ที่ทำให้ค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมมีต้นทุนที่ใช้ต่ำลง แต่จะมั่นใจได้อย่างไรว่าเราจะไม่ถูกเอาเปรียบ จึงมีการนำระบบ Blockchain และ Smart Contract ในการทำธุรกรรมต่างๆ มาใช้ เพื่อให้เกิดความเชื่อใจว่าจะไม่มีการโกงเกิดขึ้น

Smart Contract ถ้าพูดถึงในเชิงพาณิชย์ จะถูกใช้ทำหน้าที่เป็นสัญญาระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย โดยมีการระบุเงื่อนไข ข้อตกลง และกฎระเบียบต่างๆ ที่ทั้ง 2 ฝ่ายต้องปฏิบัติตาม ถ้าจะอธิบายให้เห็นภาพลองนึกถึงการสั่งซื้อสินค้าทางออนไลน์ โดยเราไม่รู้ว่าคนขายเป็นใคร หน้าตาเป็นอย่างไร ทำให้เกิดโอกาสที่จะโดนโกงได้ง่าย จึงมีการสร้างข้อตกลงว่าเมื่อโอนเงินไปแล้วจะทำการพักเงินไว้ก่อน โดยเงินนั้นจะยังไม่ถึงมือผู้ขายจนกว่าสินค้าจะส่งถึงมือผู้ซื้อเรียบร้อยแล้ว เงินดังกล่าวถึงจะถูกโอนไปให้กับผู้ขาย จากที่กล่าวมานี้ทำให้เราสามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้อย่างมั่นใจมากขึ้น ทั้งการฝากเงิน การซื้อ-ขาย และการลงทุน และนี่คือการนำ Smart Contract เข้ามาใช้งาน

เมื่อรู้จักกับ DeFi แล้ว เรามาทราบข้อดีกันเลยดีกว่า เนื่องจาก DeFi จะใช้ Code ในการเขียนเงื่อนไข ซึ่งจะถูกฝังเป็น Code แบบเปิด หมายความว่าเราสามารถตรวจสอบ Code ที่อยู่บน Blockchain ได้ จึงไม่มีการแบ่งแยกว่าเป็นของประเทศไหน เพราะคนทั่วโลกสามารถเข้าถึงได้และยังช่วยให้การทำธุรกรรมทางการเงินสะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เพียงเรามีสมาร์ทโฟนที่มีอินเทอร์เน็ตก็สามารถทำธุรกรรมที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ ในปัจจุบันมีการนำ DeFi มาใช้งานแล้ว เช่น

  1. Lending หรือการปล่อยกู้โดยมี Concept คล้ายกับธนาคารคือ รับฝากเงินเข้าระบบแล้วนำไปปล่อยกู้ โดยกำไรที่ได้จะนำมาจ่ายเป็นผลตอบแทนให้กับผู้ที่ฝากเงิน เช่น เรามี Cryptocurrency แต่ไม่รู้จะนำไปทำอะไร เราสามารถฝากเพื่อรอรับดอกเบี้ยได้
  2. Stable Coin หรือเหรียญที่มีมูลค่าคงที่ เกิดจากความตั้งใจให้คงมูลค่าไว้หรือให้เปลี่ยนแปลงค่าน้อยที่สุด โดยไม่เป็นไปตามความต้องการของตลาด ซึ่งเบื้องต้น Stable Coin ถูกสร้างขึ้นมาสำหรับเป็นที่พักเงินของนักลงทุนที่ไม่ต้องการความผันผวนของ Cryptocurrency
  3. Decentralized Marketplace เป็นสถานที่ที่คนสามารถแลกเปลี่ยนทรัพย์สินกันได้โดยตรง ข้อดีคือไม่ต้องยืนยันตัวตนและไม่มีคนกลาง และการดูแลรักษาจะต่ำมากทำให้ค่าธรรมเนียมในการโอนถูกกว่าปกติ

คาดว่าอนาคตจะมีเหรียญสกุลใหม่เกิดขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งไทยเองอาจสร้างสกุลของตัวเองขึ้นมาใช้งาน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเทคโนโลยีที่น่าสนใจและทุกคนควรศึกษาไว้เพื่อให้ทันกับยุคสมัยในอนาคต อย่างไรก็ตาม ก่อนการลงทุนเราควรศึกษาให้แน่ใจ เนื่องจากการลงทุนทุกประเภทมีความเสี่ยงที่เราต้องยอมรับ

    wpChatIcon