ในปัจจุบัน การได้มาซึ่งแอปพลิเคชันสักระบบเพื่อใช้งาน หลักๆ ก็จะมี 2 วิธีคือ ใช้ซอฟต์แวร์สำเร็จรูปหรือพัฒนาขึ้นเอง การใช้ซอฟต์แวร์สำเร็จรูปอาจจะมีข้อดีเรื่องความพร้อมในการใช้งาน กับเรื่องราคาที่ไม่ได้แพงมาก แต่พอพูดถึงซอฟต์แวร์ที่ใช้ในระดับองค์กรแล้ว ความต้องการมักจะเฉพาะเจาะจงจนหาซอฟต์แวร์สำเร็จรูปไม่ได้ จึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาระบบขึ้นเอง
ทีนี้ การพัฒนาระบบขึ้นใช้เอง ก็ยังแยกย่อยได้อีกหลายรูปแบบเช่น การพัฒนาระบบด้วยภาษาโปรแกรมมิ่งต่างๆ โดยเริ่มจากศูนย์ (Tailor-made software) ซึ่งต้องใช้เวลาในการพัฒนา และใช้ความสามารถของนักพัฒนาที่เป็นผู้สร้างระบบให้ จนในระยะหลังๆ เริ่มมีคำว่า Low Code Platform เกิดขึ้น หมายถึงการสร้างซอฟต์แวร์โดยเขียนโค้ดที่ง่ายขึ้นและน้อยลง มี Learning curve ที่ต่ำลง แต่ก็ยังต้องมีการเขียนในระดับหนึ่งอยู่ดี เพื่อให้ได้ซอฟต์แวร์หรือแอปพลิเคชันขึ้นมาใช้งาน
จนกระทั่งเมื่อปี 2020 ทาง Google ได้เข้าซื้อกิจการของบริษัท AppSheet มา และนำออกมาเป็นโปรดักส์ให้ทุกคนใช้กันได้ฟรี และวันนี้ เราจะมาพูดถึงเจ้า AppSheet กันว่ามันคืออะไร และมีข้อดีข้อเสียอย่างไรบ้าง
AppSheet ถูกนิยามว่าเป็น No Code Platform นั่นหมายความว่า เราสามารถสร้างแอปโดยไม่ต้องเขียนโค้ดเลยสักบรรทัด โดยสามารถใช้ Google Sheet เป็นฐานข้อมูลด้วยก็ยังได้ และยังรองรับฐานข้อมูลรูปแบบอื่นๆ อีกมากมาย

ฟีเจอร์หลักๆ ของ AppSheet มีดังนี้
- รองรับการบันทึกข้อมูลในรูปแบบที่หลายหลายเช่น ตัวหนังสือ ตัวเลข วันที่ เวลา ดรอปดาวน์ เช็คบ็อกซ์ รูปภาพ ลายเซ็น และอื่นๆ อีกมากมาย

2. สามารถปรับแต่งการแสดงผลของหน้าจอได้ง่าย กำหนดไอคอนของแอป ตั้งชื่อแอป หรือจะกำหนดสิทธิ์ในการใช้งาน ก็ทำได้เช่นกัน

3. สามารถทำ Automate workflows ได้ด้วย เช่น ตั้งให้ส่งเมลทุกวัน เวลา 18.00 น. หรือเมื่อมีการเพิ่มรายการใหม่เข้ามา ให้ส่งเมลแจ้งโดยอัตโนมัติ

4. สามารถเชื่อมต่อการทำงานกับระบบภายนอกอื่นๆ ได้ เช่น ต่อกับ Gmail, Google Sheets, Office 365, Dropbox, SQL databases เป็นต้น

หากเรามองไม่ออกว่า AppSheet สามารถนำมาสร้างแอปอะไรได้บ้าง ทาง Google เองได้ทำการรวบรวม Common app use cases มาให้เราได้ดูเป็นไอเดียไว้ที่ https://www.appsheet.com/templates

และนอกจากนี้ ทาง Google ได้ทำสรุปขั้นตอนการสร้างแอปง่ายๆ ออกมาเป็น 7 ขั้นตอนให้อีกด้วย ดังนี้
(ศึกษาเพิ่มเติมโดยละเอียดด้วยตนเองได้ที่ https://about.appsheet.com/how-to-create-an-app )
ขั้นที่ 1 เตรียมข้อมูล
ใช้ Google Sheets หรือฐานข้อมูลอื่นๆ ที่รองรับก็ได้ หากใช้ Google Sheets ก็ให้บรรทัดแรกเป็นชื่อคอลัมน์ และบรรทัดที่สองเป็นต้นไปเป็นข้อมูล

ขั้นที่ 2 เชื่อมต่อข้อมูลเข้ากับ AppSheet
จากใน Google Sheets ให้คลิกที่ Add-ons (ส่วนขยาย) จะพบเมนูย่อย AppSheet

ขั้นที่ 3 ทำความรู้จักการ AppSheet Editor
สำหรับ AppSheet Editor จะมีไว้เพื่อกำหนดสิ่งต่างๆ ในแอปของเรา ซึ่งมีเมนูหลักๆ ดังนี้
- Home จะมีคำแนะนำว่า เราควรทำอะไรเป็นขั้นต่อไป รวมถึงมีแหล่งเข้าถึง resources ต่างๆ ที่ควรรู้
- Info จะไว้ให้ดูและกำหนดค่าต่างๆ ของแอป
- Data เอาไว้กำหนดว่าให้แอปใช้งานข้อมูลอะไรที่เราผูกไว้ได้บ้าง
- UX เอาไว้กำหนดการแสดงผลหน้าจอของแอป
- Automation มีไว้สร้างบอทเพื่อให้ทำงานบางอย่างโดยอัตโนมัติ
- Security มีไว้กำหนดสิทธิ์การใช้งาน
- Intelligence จะเป็นส่วนของการใช้งาน machine learning หรือเบต้าฟีเจอร์ต่างๆ

ขั้นที่ 4 ออกแบบการใช้งานข้อมูลที่เราได้ทำการเชื่อมต่อไว้
ขั้นตอนนี้จะเป็นการเลือกฟิลด์ต่างๆ ที่เรามีใน Google Sheets หรือฐานข้อมูลที่เราเชื่อมต่อไว้ มาใช้งาน และใส่เงื่อนไขต่างๆ ให้กับข้อมูลได้ ในส่วนนี้อาจต้องเรียนรู้การใช้งานนิดหน่อย แต่รับรองว่าง่ายกว่าเขียนโค้ดเองมากเลย
ขั้นที่ 5 ปรับแต่งหน้าจอให้ตรงตามต้องการ
ใช้เมนู UX ในการปรับแต่งหน้าจอแสดงผลให้เป็นตามต้องการ ในส่วนนี้ก็ปรับได้ค่อนข้างละเอียดพอสมควร ผู้ใช้งานสามารถลองเล่นกันได้ตามสะดวกครับ ใช้แรกๆ อาจจะไม่ค่อยคุ้นมือ แต่พอใช้บ่อยๆ ก็จะคล่องและสนุกกับการปรับแต่งมากขึ้นครับ

ขั้นที่ 6 (เป็น optional) สร้างบอทให้ทำงานบางอยู่เบื้องหลังโดยอัตโนมัติ
ในส่วนของบอทนั้น จะเป็นการสร้างคำสั่งไว้ล่วงหน้าเพื่อให้ AppSheet นั้น “ทำอะไรบางอย่างเมื่อเกิดอะไรบางอย่างขึ้น” เช่น ส่งเมลและแนบไฟล์ข้อมูลทุกวันเมื่อถึงเวลาที่กำหนด ส่งเมลเมื่อมีการแก้ไขข้อมูลหรือเพิ่มข้อมูลใหม่ ซึ่งทาง Google เองก็จะมีตัวอย่างให้เป็นแนวทางไว้ด้วยเช่นกัน

ขั้นที่ 7 เทสและใช้งาน
หลังจากที่สร้างและตั้งค่าแอปของเราจนเสร็จสิ้นแล้ว ก็สามารถทดลองใช้งานได้เลย และนอกจากนี้ยังสามารถเชิญชวนคนอื่นมาใช้แอปของเราได้อีกด้วย หากเชิญไม่เกิน 10 คน ก็จะสามารถใช้งานแอปได้ฟรีๆ ไม่มีค่าใช้จ่ายเลย แต่ถ้าหากต้องการให้ใช้ได้มากกว่า 10 คน หรือต้องการฟีเจอร์ที่เพิ่มมากขึ้น ทาง Google เองก็ได้เตรียมแผนการใช้งานแบบเสียค่าใช้จ่ายไว้ให้เช่นกันครับ

พูดถึงข้อดีและสิ่งที่ AppSheet ทำได้มาพอสมควรแล้ว ทีนี้เรามาดูข้อจำกัดของมันกันบ้าง
- หากอยากใช้เวอร์ชันฟรี จะจำกัดคนใช้งานแอปหนึ่งได้ไม่เกิน 10 คนเท่านั้น
- ไม่รองรับการเชื่อมต่อฐานข้อมูลประเภท No SQL
- ไม่เหมาะกับการสร้างแอปที่มีความซับซ้อนสูง และยังไม่รองรับการเชื่อมต่อ third party API
- ไม่เหมาะกับการเก็บข้อมูลปริมาณมากๆ หากใช้ Spreadsheet ในการเก็บข้อมูล
ทั้งหมดที่กล่าวมาในบทความนี้ ก็น่าจะทำให้หลายๆ คนพอมองเห็นไอเดียในการนำ AppSheet ไปประยุกต์ใช้งานกันแล้วนะครับ หากใครพร้อมจะลงมือสร้างแอปด้วย AppSheet แล้วล่ะก็ ไปลุยกันเล้ยย