Brain-Computer Interface
เทคโนโลยีที่ช่วยให้คุณสื่อสารได้ด้วยความคิด

Brain-Computer Interface (BCI) หรืออีกชื่อหนึ่งคือ Brain-Machine Interface หรือ (BMI) เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารชนิดหนึ่งระหว่างคลื่นสมอง และคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ภายนอกอื่นๆ เพื่อประโยชน์ในการแยกสัญญาณสมองที่ต้องการออกมา และทำการถอดรหัสให้สามารถเข้าใจได้  เทคโนโลยีนี้จะช่วยให้เราสามารถสื่อสารกับสมองของมนุษย์ที่ยังเป็นปกติดีอยู่แต่ร่างกายไม่สามารถเคลื่อนไหวได้  หรือผู้ป่วยโรคทางจิตเวชได้สะดวกขึ้น

ปกติแล้วเมื่อมีการกระตุ้นจากสิ่งเร้าทั้งภายในและภายนอกร่างกาย เส้นประสาทจะนำข้อมูลสิ่งเร้านั้นไปยังระบบประสาทส่วนกลาง  (Central Nervous System หรือ CNS) แล้วส่งผลออกมาในรูปแบบของการตอบสนองของกล้ามเนื้อ แต่การทำงานของ BCI คือการสั่งการจากสมองโดยตรงไปยังอุปกรณ์ภายนอกด้วยคลื่นไฟฟ้าสมอง โดยไม่ผ่านช่องทางปกติจากสมองสู่กล้ามเนื้อ

เราสามารถตรวจพบคลื่นไฟฟ้าที่สร้างขึ้นโดยกิจกรรมของสมองได้บนหนังศีรษะ บนผิวเปลือกนอก หรือภายในสมอง จึงมีการออกแบบอุปกรณ์ BCI ทั้งแบบสวมใส่บนศีรษะ และแบบฝังชิปลงในสมอง โดย BCI จะส่งคลื่นไฟฟ้านี้ไปยังอุปกรณ์ภายนอก ทำให้ผู้ใช้สื่อสารได้โดยไม่ต้องใช้งานเส้นประสาทและกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกาย เทคโนโลยีนี้จึงเป็นอีกทางเลือกสำหรับผู้ที่มีความผิดปกติทางร่างกายและไม่สามารถสื่อสารด้วยตนเองได้

ตัวอย่างการพัฒนา BCI

  1. Neuralink – LINK V0.9

Elon Musk ได้ก่อตั้งบริษัท Neuralink ขึ้นในปี 2016 เพื่อขยายช่องทางการเชื่อมต่อระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักร โดยในปี 2020 ได้มีการ Live เปิดตัวผลิตภัณฑ์ต้นแบบ (Prototype) LINK V0.9 ที่เป็นชิปเล็กๆ ฝังลงในสมอง และนำหมูที่ถูกฝังชิปมาแสดงให้เห็นการใช้งานจริง โดยอ่านสัญญาณสมองได้แบบ Real Time

.

พร้อมทั้งอธิบายการทำงานต่างๆ และยกตัวอย่างการนำไปใช้งานจริงด้านการรักษาโรคที่เกี่ยวกับสมอง เช่น ความจำเสื่อม หูหนวก ตาบอด อัมพาต โรคนอนไม่หลับ อาการเสพติด โรคซึมเศร้า ซึ่งการกระตุ้นให้สมองส่วนที่รับผิดชอบกลับมาทำงานได้ปกติก็อาจช่วยให้อาการบางอย่างหายไปได้

ความแตกต่างของโมเดลต้นแบบปีก่อนหน้านี้ที่ต้องดึงสายมาซ่อนหลังหู แต่โมเดลต้นแบบรุ่นใหม่จะฝังลงไปอยู่ในกะโหลกศีรษะได้เลย

.

Neuralink รุ่นต้นแบบนี้ เปรียบเสมือนนาฬิกาสมาร์ทวอทช์ที่ฝังอยู่ในสมอง ทำหน้าที่วัดค่าและสถิติต่างๆ ของร่างกาย เช่น อัตราการเต้นของหัวใจ การทำงานของสมอง และยังช่วยสร้างความแม่นยำให้ฟีเจอร์ Sleep Tracking ได้

อุปกรณ์ Neuralink นี้จะชาร์จไฟแบบ Wireless ในขณะที่เรานอนตอนกลางคืน โดยการชาร์จไฟหนึ่งครั้งจะใช้งานได้ตลอดทั้งวัน

2. Facebook – Brain-Computer Speech-to-Text Interface

ในปี 2017 Facebook มีแผนการพัฒนา “Brain-Computer Speech-to-Text Interface” เป็นเทคโนโลยีช่วยแปลความคิดในสมองของมนุษย์ให้สั่งการไปยังคอมพิวเตอร์ได้ โดยที่มนุษย์ไม่จำเป็นต้องพูดหรือเคลื่อนไหวร่างกายใดๆ

Facebook ได้ทำการทดสอบกับผู้ทดลองรายหนึ่งภายในศูนย์วิจัย โดยใช้เทคโนโลยีนี้เชื่อมต่อกับสมองส่วนที่สั่งการเพื่อการพูดของผู้ทดลอง ทำให้ผู้ทดลองสามารถใช้ความคิดพิมพ์ข้อความได้ 8 คำต่อนาที และในอนาคตเป้าหมายของทีมวิจัยคือการสร้างเทคโนโลยีที่ช่วยให้มนุษย์ใช้ความคิดพิมพ์ข้อความได้ 100 คำต่อนาที

แต่น่าเสียดายที่ในปี 2021 Facebook ได้ออกมาประกาศยุติโครงการนี้ โดยให้เหตุผลว่าการอ่านสมองของผู้บริโภคยังเป็นเรื่องไกลตัวอยู่มาก ซึ่งในขณะที่ Facebook หันหลังให้โครงการนี้ ก็ยังมีโครงการทดลองของอีกหลายๆ องค์กรที่มุ่งหน้าพัฒนา Brain-Computer Speech-to-Text Interface อยู่อย่างต่อเนื่อง

ในอนาคตหากมีการนำเทคโนโลยี Brain-Computer Interface มาใช้ได้จริงจะสร้างประโยชน์ทางการแพทย์ได้อย่างมหาศาล เช่น ช่วยให้ผู้ที่สูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหวร่างกายจากอุบัติเหตุ หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของระบบประสาทสามารถกลับมาสื่อสารได้อีกครั้ง คนปกติเองก็สามารถสื่อสารกันผ่านทางความคิด หรือสั่งงานอุปกรณ์ต่างๆ ผ่านทางความคิดได้เช่นกัน

ที่มา:

https://droidsans.com/elon-musk-demonstrate-working-neuralink-chip-on-living-pig

    wpChatIcon